Eliud Kipchoge มนุษย์คนแรกที่วิ่งมาราธอนต่ำกว่า 2 ชั่วโมง
” 2 Hours Marathon Barrier “

ถึงแม้สถิตินี้ไม่ถูกบันทึกอย่างเป็นทางการแต่นี่คือ
อีกก้าวของมนุษยชาติ
ในการทำลายกำแพงของคำว่า”ขีดจำกัด”
Barrier หรือกำแพงขีดจำกัดของมนุษย์
เคยถูกท้าทายครั้งแล้วครั้งเล่า
หลายคนคิดย้อนกลับไปในปี 1954 ที่
Sir Roger Bannister
เอาชนะขีดจำกัดในการวิ่ง 1 ไมล์
ที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดสามารถวิ่งได้ต่ำกว่า 4 นาที
(Sub – 4 Minutes Mile)มาก่อน
ในวันนั้นโรเจอร์สามารถวิ่งได้ 3 ชั่วโมง 59 นาที 4 วินาที
แล้วเชื่อไหมครับว่าเมื่อสิ่งนี้ได้รับการพิสูจน์
และขีดฆ่าคำว่า”ขีดจำกัด”ทิ้งไป
สมองมนุษย์ก็เริ่มทำงานทันที
สมองสร้างความเชื่อหรือ “Believe”
ซึ่งคือพลังมหัศจรรย์ที่อยู่ภายในตัวของพวกเรา
ในปีเดียวกับที่โรเจอร์ทำลายขีดจำกัดได้สำเร็จ
ก็มีมนุษย์อีกหลายคนที่วิ่ง 1 ไมล์ได้ต่ำกว่า 4 นาทีเช่นเดียวกับโรเจอร์ จนทุกวันนี้มันกลายเป็นเวลามาตรฐานที่นักวิ่งระยะกลางสามารถทำได้!!
สิ่งนี้กำลังบอกอะไรกับเราครับ… “ความเชื่อ” ไงครับ มันคือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สามารถทำลายขีดจำกัดต่างๆได้
เช่นเดียวกับคิปโชเก้ชายหนุ่มวัย 34 ปีจากเคนย่า
เจ้าของสถิติวิ่งมาราธอนที่ถูกบันทึกไว้อย่างเป็นทางการ กับสถิติโลก” 2 ชั่วโมง 1 นาที 39 วินาที”
ด้วยความเชื่อที่ว่าเขาจะเป็นมนุษย์คนแรกที่สามารถทำลายกำแพงในการวิ่งมาราธอน
ให้ได้เวลาต่ำกว่า 2 ชั่วโมง
จึงเกิดเป็นโปรเจ็คการทำลายขีดจำกัดของมนุษย์กับการวิ่งมาราธอนด้วยเวลาน้อยกว่า 2 ชั่วโมง
โครงการที่สนับสนุนโดย Nike
ทำให้เกิดการทำงานร่วมกัน ของทั้งทีมวิศวกรทีม
นักวิทยาศาสตร์การกีฬาและที่สำคัญทีม Pacemakers ซึ่งเป็นนักวิ่งชั้นนำของโลกกว่า 42 คน คนเหล่านี้มาทำอะไรกัน ผมจะเล่าให้ฟัง
ทีมนักวิทยาศาสตร์การกีฬาวางแผนการดูแลกล้ามเนื้อระบบการหายใจของคิปโชเก้ รวมทั้งวางแผนการฝึกซ้อม
เชื่อไหมครับว่า ก่อนที่คิปโชเก้จะวิ่งทำลายสถิติของมนุษยชาติครั้งนี้เขาฝึกซ้อมวิ่งสัปดาห์ละ 140 ไมล์ ที่สถานที่ที่มีความสูงและปริมาณออกซิเจนน้อย ทั้งนี้เพื่อให้เซลล์ในร่างกายและระบบการหายใจได้ปรับตัว สู่การท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้
ทีมวิศวกรที่วางแผนสร้าง Laser beam ที่จะใช้บอกจังหวะการวิ่งให้นักวิ่งได้เห็นบนพื้น ว่าจังหวะการวิ่งที่เหมาะสมในการทำลายสถิติที่ไม่เร็วไปและช้าไป แปรผันตามระยะทางที่เปลี่ยนไปซึ่งมีการคำนวณมาอย่างถี่ถ้วน
ทีมนักวิ่ง Pacemakers ที่รวมเอานักวิ่งชั้นนำระดับโลก หลายคนเพื่อช่วยให้คิปโชเก้รักษาจังหวะการวิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสม โดย 3 คนจะวิ่งเป็นตัว V Shape ด้านหน้าของคิปโชเก้และทีมอีก 2 คนจะคอยวิ่งประกบตามหลัง โดยมีการสับเปลี่ยนทีมนักวิ่ง Pacemakers ตลอดการวิ่ง
นี่คือคำว่า“ทีมเวิร์ค”อย่างแท้จริง
ในที่สุดเมื่อวานนี้ 13 ตุลาคมที่กรุงเวียนนา
การวิ่งครั้งประวัติศาสตร์ที่มีการถ่ายทอดโทรทัศน์
ไปทั่วโลกก็เริ่มต้นขึ้น
ทุกอย่างเป็นไปตามแผนครับ
คิปโชเก้เริ่มวิ่งด้วยจังหวะที่ความเร็วประมาณ 4.34 per mile สำหรับ 26.2 ไมล์ การวิ่งถูกกำหนดด้วยจังหวะที่ถูกคำนวณมาแล้วเป็นอย่างดี
ในที่สุดตัวเลขที่คิปโชเก้ทำได้ มันคือการทำลายกำแพงขีดจำกัดของมนุษย์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินั่นคือตัวเลข 1 ชั่วโมง 59 นาที 40 วินาที
แน่นอนครับตัวเลขนี้ไม่ถูกบันทึกอย่างเป็นทางการ เพราะมันไม่ใช่การแข่งขันจริงที่มีผู้แข่งขันคนอื่น โดยเป็นคนละกรณีกับ Sir Roger Bannister ซึ่งเป็นการแข่งขันวิ่งจริง
และที่สำคัญมันมีการเตรียมการ,มีผู้ช่วยเหลือทีมวิ่งที่คอยวิ่งประกบ มันจึงทำให้สถิตินี้ไม่ได้รับการบันทึก
แต่นั่นก็เพียงพอในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆคน เพื่อจะลุกขึ้นมาวิ่งมาราธอนให้ได้ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงและถูกบันทึกไว้เป็นสถิติทางเป็นทางการ
ซึ่งหนึ่งในนั้นแน่นอนมีชายชื่อว่าคิปโชเก้ ที่จะต้องตามฝันของตัวเองต่อไป เพื่อถูกบันทึกอย่างเป็นทางการว่าเป็นมนุษย์คนแรกที่วิ่งมาราธอนต่ำกว่า 2 ชั่วโมง มันคือความฝันที่สำคัญกว่าสถิติโลกหรือแม้กระทั่งเหรียญโอลิมปิกที่เขาเคยได้ซะอีก
ชีวิตกับการวิ่งเป็นเหมือนสิ่งเดียวกัน
ในชีวิตของคิปโชเก้
คิปโชเก้เด็กชายที่ครั้งหนึ่งเคยวิ่งเท้าเปล่าไปโรงเรียนเด็กชายที่ครั้งหนึ่งเคยวิ่งส่งนมวันละหลายสิบกิโลเมตร
คิปโชเก้มอบความสำเร็จให้กับทีม
โดยเฉพาะทีมนักวิ่ง Pacemakers
นักวิ่งชั้นยอดที่วิ่งนำหน้าและตามหลังเขา
ถ้าไม่มีคนเหล่านี้ความสำเร็จครั้งนี้จะไม่เกิดขึ้น

ลองจินตนาการดูสิครับคุณวิ่งท่ามกลางนักวิ่งที่ยิ่งใหญ่จากทุกมุมโลก
คุณจะมีแรงขับเคลื่อนในการวิ่งมากเพียงใด
แต่แรงขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดมันคือ“ก้าวแรก”
ซึ่งมันต้องเกิดขึ้นจากพลังในตัวคุณ
“อย่าเพิ่งบอกว่าตัวเองทำไม่ได้
จนกว่าคุณจะได้ลงมือทำ”
กัปตันหมี
Cr and Photo: qz.com