ช่วงเวลาเป็นเดือนแล้วครับที่เราตื่นมา
แล้วพบกับข่าวหนักๆ เกี่ยวกับ COVID-19
สุขภาพกายก็สำคัญครับสุขภาพใจคงต้องหันมาดูแลด้วย อยากให้เรามองรอบตัว ผมเชื่อว่ามันจะมีเรื่องดีๆให้เราได้เห็นให้เราได้นึกถึงมองสิ่งนั้นบ้างครับ
วันนี้ผมมีเรื่องดีๆกับการต้องกักตัว 14 วันมาแบ่งปันกัน
ผมเป็นคนหนึ่งครับที่ต้องโดนกับตัว 14 วัน
จากการปฏิบัติหน้าที่พาผู้โดยสารของเรา
เดินทางกลับจากลอนดอน
(ข้อมูลเที่ยวบินผมขออนุญาตไม่เปิดเผยนะครับ)
เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยได้ประมาณ 3 วัน
ผมจึงได้รับข่าวอย่างไม่เป็นทางการ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น…มีน้องกัปตันคนนึงโทรมา
บอกว่าคนที่เขารู้จักแจ้งเป็นการส่วนตัวว่า
เดินทางมากับเที่ยวบินของผม
ผลตรวจ COVID-19 เป็นบวกครับ
เอาล่ะสิ!! แม้ผมไม่ได้เปิด Speaker ขณะคุยโทรศัพท์แต่ภรรยาที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอก็หันมาถามด้วยน้ำเสียงที่
ดูกังวลว่า “ไฟท์ของพี่มีผู้โดยสารติดเชื้อใช่ไหม??”
ผมพยักหน้ารับ..แล้ววันนี้มันก็มาถึง
การบินไปรับส่งผู้โดยสารตลอดเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ผมคิดเสมอครับว่าอาจจะมีผู้โดยสารในไฟท์
ติดเชื้อไม่เที่ยวบินใดก็เที่ยวบินหนึ่ง…
เหมือนเป็นสิ่งที่เรายอมรับมันตั้งแต่ต้น
บทเรียนข้อที่ 1
เรื่องเลวร้ายที่ว่าหนักๆมันจะเบาลงไปเกือบครึ่ง
ถ้าเราทำใจยอมรับถึงความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
สิ่งที่เราตกใจไม่ใช่เรื่องผู้โดยสารของเราติดเชื้อครับ
แต่เนื่องจากผมกลับมาบ้านเกือบ 3 วันแล้วถึงได้ทราบ
ฉนั้นผมจึงไม่ได้ทำ Social Distancing กับลูกและภรรยาเลย นั่นหมายถึงว่าถ้าผมติดเชื้อ(ซึ่งโอกาสเป็นไปได้น้อยมากเพราะเรานักบิน 4 คนกักตัวเองตั้งแต่บนเที่ยวบินแล้ว แทบไม่ออกจากห้องนักบินเลย)
คนที่รับผลกระทบนอกจากผมก็คือครอบครัว
บทเรียนที่ 2
ขั้นตอนแรกของการแก้ปัญหาคือการ”ยอมรับปัญหา”
ผมวางแผนการแก้ปัญหาทันทีครับ รีบเปิดหาแนวทางปฏิบัติซึ่งเป็นหนังสือคำสั่งของบริษัทว่าเราจะต้องทำอย่างไรบ้าง มีขั้นตอนรายละเอียดพอสมควรซึ่งผมคงไม่ลงรายละเอียดนะครับ
ไม่นานทางบริษัทก็แจ้งมาอย่างเป็นทางการ
พวกเราจึงเข้าสู่กระบวนการกักกันตัว 14 วันโดยทันที
สิ่งที่ผมทำคือ
–โทรศัพท์ไปแจ้งแม่ ด้วยคุณแม่อายุมากแล้วปกติผมจะไปหาคุณแม่ทุกวัน ก็คงทำไม่ได้แล้วในช่วงเวลานี้
“คิดถึงแม่นะครับ” นี่คือสิ่งที่ผมพูดก่อนวางสายจากแม่
–วางแผนเรื่องอาหารวัตถุดิบทั้งหมด โดยลงทะเบียนซื้อของออนไลน์ โชคดีที่ก่อนหน้าผมได้ออกไปจับจ่ายซื้อของมาพอประมาณ
บทเรียนที่ 3 “ตตต”
“ต้องเตรียมตัว”ในวันที่มีความพร้อมให้ทำเลย
ในสิ่งที่จำเป็น “เดี๋ยวเอาไว้ก่อนนะ..”
บางทีอาจไม่มีวันนั้นให้เราได้ทำก็ได้นะครับ
….
เรื่องดีๆที่จะอยู่ในความทรงจำ
— ผมได้วัตถุดิบและอาหารส่วนหนึ่งฟรีจากบริษัท CPF ส่งอาหารให้เพียงพอกับการใช้ชีวิต 14 วันมาให้ผู้ต้องกักตัวครับ ทางบริษัทไม่ได้ประชาสัมพันธ์ออกสื่อมากมายนัก เรียกว่าทำด้วยใจจริงๆครับ
บริษัทให้เราลงทะเบียนแจ้งเอกสารการเดินทาง
ตรวจสอบประวัติไปยังกรมควบคุมโรค หลังจากนั้นรอประมาณ 4-5 วัน บริษัทส่งอาหาร “ชุดใหญ่”มาเลยครับ

ในนั้นยังมีซิมโทรศัพท์ “ซิมกักตัวไม่กลัวเหงา”
เห็นแล้วยิ้มและซึ้งใจถึงความใส่ใจเลยครับ

— ความผูกพัน…พวกเราเกือบ 20 ชีวิตนักบิน 4 คน
และลูกเรือ 15 คนในเที่ยวบินนั้น บางคนที่มีความกังวลก็ต้องเดินทางไปตรวจเชื้อด้วยตัวเอง
นอกเหนือจากการกักตัวแล้ว พวกเรารวมตัวกันสร้างกรุ๊ปไลน์ครับในทุกๆวันตอนเช้าจะมีการส่งข้อความทักทายกันว่าทุกคนสบายดีไหม?
มีใครป่วยไข้อะไรหรือเปล่า?
การยื่นมือมาช่วยเหลือของภาคเอกชน
ความฉับไวของกรมควบคุมโรค
ความสัมพันธ์เล็กๆที่ก่อตัวเกิดขึ้น ร่วมกันรับรู้ความรู้สึกของกลุ่มลูกเรือทั้งหมด 19 ชีวิต
มันกลายเป็นความผูกพันธ์และความรู้สึกดีๆ
ใน 14 วันของการกักกันตัวครับ
อยากจะบอกทุกคนว่าไม่ใช่เฉพาะเที่ยวบินของผมนะครับ ยังมีลูกเรือและนักบินการบินไทยหลายคนโดนกักตัว(บางท่านโดน 2 รอบรวมเบ็ดเสร็จ 28 วันเต็ม)
เพราะพวกเขาทำหน้าที่พาพี่น้องคนไทยกลับบ้าน
การกักตัวอย่างมีวินัย มั่นสื่อสารกันไถ่ถามกัน
และติดต่อกับบริษัทอย่างสม่ำเสมอ
เวลา 14 หรือ 28 วัน มันหมายถึงรายได้ที่หายไปในวันที่ไม่พวกเขาสามารถไปทำงานได้
ซึ่งคือรายได้เกือบทั้งเดือนเลยสำหรับบางคน
แต่ทุกคนก็พร้อมที่จะทำ ครั้งเมื่อมีการเรียกจิตอาสาไปบินเพื่อพาคนไทยกลับบ้านในเที่ยวบินพิเศษจากอิตาลี ก็มีคนสมัครใจไปบิน ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองกลับมาต้องถูกกักตัว 14 วัน
“การกักตัว”ที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องจำกัดเสรีภาพ
แต่พวกเขายอมถูกกักกัน
และยอมสูญเสียรายได้ที่พวกเขาพึงจะได้
ไม่ได้มีเจตนาตำหนิใครนะครับ เพราะทุกคนต่างรู้หน้าที่ของตัวเองและทุกคนต่างมีเหตุผล
แต่เมื่อคนกลุ่มหนึ่งทำดีก็ควรได้รับการชมเชยครับ
ขอชื่นชมอีกครั้งสำหรับ บริษัททรูมูฟ บริษัท CPF
กรมควบคุมโรคและพี่น้องบริษัทการบินไทย
ถึงแม้ว่าเราจะหยุดการแพร่เชื้อไม่ได้
แต่เราได้แต่หวังว่า
“เราจะไม่เป็นส่วนหนึ่งของการแพร่เชื้อนี้ครับ”
กัปตันหมี