ตอนที่ 2
ผู้นำที่เดินทาง 7532 ไมล์
เพื่อไปพบจุดจบ…

มาพบกันครั้งที่ 2 แล้วนะครับ สำหรับบทเรียนราคาแพงของผู้นำบางคน ที่จะต้องพ้นจากตำแหน่งด้วยการทำงานที่ผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย
ในช่วงของการระบาดของ COVID-19
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 24 มีนาคม มีข่าวที่สะเทือนวงการทหารของสหรัฐ เมื่อพบว่ามีกะลาสีหรือลูกเรือของเรือบรรทุกเครื่องบินในตำนานอย่างธีโอดอร์โรสเวลต์
(เรือบรรทุกเครื่องบินเพิ่งออกจากท่าเมืองดานังเวียดนามเพื่อมุ่งไปปฏิบัติภารกิจ)ติดเชื้อ COVID-19 !

ภาพเครื่องบิน F A 18 Hornet กำลังลงจอดบนเรือบรรทุกเครื่องบินธีโอดอร์โรสเวลต์
เป็นเรื่องใหญ่เลยครับเพราะลักษณะการทำงานของทหารเรือที่ประจำอยู่บนเรือมีการทำงานและการเป็นอยู่ใกล้ชิดกันมาก เราได้ยินการระบาดและผู้ติดเชื้อจำนวนมากบนเรือสำราญ Diamond Princess คงนึกภาพออกถึงความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น
หากมีการระบาดบนเรือบรรทุกเครื่องบิน
ทหารเรือ 4000 กว่าชีวิตกำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย ด้วยภาวะผู้นำของกัปตันเรือบรรทุกเครื่องบินธีโอดอร์โรสเวลต์ กัปตันเบร็ทท์ โครซิเออร์ ซึ่งหน้าที่เขาคือการดูแลทุกชีวิตบนเรือ เขาได้ส่งข้อความผ่านอีเมลไปยังนายทหารระดับผู้คับบัญชาหลายคน
ถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องอพยพลูกเรือทุกคน
ออกจากเรือโดยเร่งด่วน และแยกกักกันเขาเหล่านั้น ด้วย และนี่คือส่วนหนึ่งของข้อความที่สื่อสารออกไป…
” นี่ไม่ใช่ภาวะสงครามไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องเสี่ยงชีวิตลูกเรือ พวกเขาคือทรัพยากรที่มีค่าสูงสุดของกองทัพเรือที่ต้องได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด”
กัปตันโครซิเออร์ เสนอให้เหลือลูกเรือไว้ 10 % ของลูกเรือทั้งหมดโดยให้ลูกด้วยส่วนใหญ่ทำ Self Quarantee ” อาจจะดูเป็นความเสี่ยงสำหรับการละทิ้งเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ความเสี่ยงกำลังเกิดขึ้นกับลูกเรือของเราทั้งหมด
ซึ่งเรายอมรับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้”

กัปตันเบร็ทท์ โครซิเออร์
เรื่องราวเกิดขยายใหญ่โต เมื่อข้อความที่ส่งถูกเผยแพร่สู่ภายนอก โดยไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ปล่อยออกมา ทำให้เกิดเป็นกระแสของความสนใจในสหรัฐอเมริกาในเวลาอันรวดเร็ว แต่สิ่งที่กัปตันโครซิเออร์ ร้องขอ
กลับไม่ได้รับการตอบรับจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพเรือ มีเพียงแต่คำสั่งที่สั่งให้เรือบรรทุกเครื่องบิน
มุ่งหน้าไปที่ฐานทัพเรือที่เกาะกวม
กระแสในสังคมอเมริกันต่างออกมาชื่นชมกัปตันที่เป็นฮีโร่กล้าเปิดเผยความจริงและแสดงภาวะผู้นำในการปกป้องดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา
แต่โทมัส ม็อดลี รักษาการเลขานุการกองทัพเรือสหรัฐกลับไม่เห็นดีงามกับเรื่องนี้
เขาออกมาวิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมในการส่งข้อมูล ที่กัปตันโครซิเออร์ได้ทำลงไป เขาวิจารณ์ว่ามันไม่เหมาะสม ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอน ข้อมูลไม่ถูกต้อง
และเป็นการตัดสินใจที่ไม่รอบคอบปล่อยให้ข้อมูลรั่วไหลและที่สำคัญสร้างความตื่นตระหนกไม่มั่นคงให้เกิดขึ้นในกองทัพ เขายืนยันว่ากองทัพต้องมีความมั่นคง
การเหลือลูกเรือไว้เพียง 10 เปอร์เซ็นต์บนเรือบรรทุกเครื่องบินพลังนิวเคลียร์เป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยง
ม็อดลีและแหล่งข่าวระดับสูงกล่าวว่ากองทัพเรือกำลังดำเนินการอพยพลูกเรือ แต่ต้องดูในเรื่องความพร้อม ของสถานที่ด้วย
ม็อดลี พูดถึงสถานการณ์ขณะนี้มีว่าลูกเรือติดเชื้อเพิ่ม 100 คนยังไม่มีใครมีอาการรุนแรงถึงขนาดจะต้องส่งไปโรงพยาบาล ดังนั้นสิ่งที่กัปตันทำมันจะเป็นการตื่นตระหนกเร็วเกินไป โดยไม่ได้มองถึงการเตรียมพร้อมของพวกเราผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่ตระหนักถึงเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว เรามีแผนการรองรับตรงนี้แล้ว
เราจะอพยพลูกเรือส่วนหนึ่งลงไปที่โรงแรม ที่มีพื้นที่ในการแยกตัว คาดว่าจะมีลูกเรือที่อนุญาตให้ลงจากเรือประมาณ 2 พันกว่าคน (ข้อมูลภายหลังพบว่ามีลูกเรือติดเชื้อกว่า 400 คนครับ)
สิ่งที่ม็อดลีทำ ซึ่งเป็นการสวนกระแสของสังคมอย่างรุนแรง คือมีคำสั่งปลดกัปตันโครซิเออร์ออกจากตำแหน่ง เป็นการสังเวยในข้อหาที่สร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้น รวมทั้งความไม่รอบคอบในการทำให้ข้อมูลหลุดรั่วออกไป …แน่นอนครับอเมริกันชนต่างไม่เห็นด้วย สำหรับสิ่งที่กัปตันได้รับ
ม็อดลีจึงถูกกระแสตีกลับอย่างรุนแรง
คำวิจารณ์กระแสด้านลบถาโถมใส่เขาและครอบครัวจนตั้งตัวไม่ติด สถานการณ์นี้จะคลี่คลายลงไปได้
มีสถานที่เดียวที่ม็อดลีต้องไป
คือการไปที่”เกาะกวม”
ไปเจอทหารเรือของเรือที่รอฟังคำชี้แจงของเขา

โทมัส ม็อดลี
ถูกต้องแล้วครับในสถานการณ์แบบนี้คนเป็นผู้นำต้องลงไปสัมผัสพูดคุยกับผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อทำความเข้าใจและสร้างความเชื่อใจให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด
“การเดินทาง 7532 ไมล์”
จากวอชิงตันดีซีไปเกาะกวมจึงเกิดขึ้น
สถานการณ์ที่กำลังย่ำแย่ คงจะดีขึ้น
ถ้าม็อดลีเริ่มต้นพูดกับ ทหารเรือ 4 พันกว่าคน
ที่รอฟังเขาด้วยประโยคที่ว่า…
“ผมรู้สึกเสียใจในสถานการณ์ที่ยากลำบากและสับสนนี้ ที่ผมจำเป็นต้องปลดกัปตันโครซิเออร์ด้วยความจำเป็น
ผมมาที่นี่เพื่อทุกท่านได้รู้ว่าผมและกองทัพเรือมีความเป็นห่วงในสุขภาพของทุกคน ผมรู้ว่าทุกท่านกำลังทำหน้าที่เสียสละเพื่อประเทศชาติของเรา
และเราจะทำทุกอย่างเพื่อเป็นการปกป้องทุกคนที่เป็นทรัพยากรที่มีค่ายิ่งเข้ากองทัพเรือให้ปลอดภัย…”
แต่…..
อนิจจาปล่าวเลยครับสิ่งที่ม็อดลี พูดกับทหารเรือ
หลายพันคนในวันนั้น คือเรื่องของ”ตัวเขา ความรู้สึกของเขา” เริ่มต้นอธิบายเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่มาที่นี่
ให้เร็วกว่านี้ ต่อด้วยเหตุผลที่หยิบยกมามากมาย
อธิบายสาเหตุที่เขาต้องปลดกัปตันโครซิเออร์
พูดถึงความไม่เหมาะสมต่างๆนานา รวมทั้งการ
กล่าวหาถึงความไม่รอบคอบในตอนหนึ่งเขากล่าวว่า
“มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาได้สื่อสารจะไม่รั่วไหลสู่สาธารณะชน”
เขาพูดประโยคนั้นโดยไม่เอะใจเลยแม้แต่น้อยว่า
สิ่งที่เขากำลังพูดนั้น ทุกถ้อยคำมันก็กำลังรั่วไหลสู่ภายนอกง่ายกว่าข้อความของกัปตันโครซิเออร์เสียอีก
หลังจากตำหนิประเทศจีนแบบอ้อมๆเรื่องการแพร่ระบาด เขาก็เริ่มพูดถึงเรื่องส่วนตัวที่เขาโดนกระแสสังคมกระหน่ำต่อว่าผลกระทบกับตัวเขาและครอบครัวอย่างไร แม้ท้ายสุดเขาจะจบประโยคว่า “ขอให้ความมั่นใจด้วยคำพูดของผมว่าเราจะดูแลทุกคน”
ผมไม่ตัดสินนะครับว่าสิ่งที่ม็อดลีทำในการ
สั่งกัปตันโครซิเออร์ให้พ้นจากตำแหน่ง ถูกหรือผิด
แต่การเดินทางถึง 7532 ไมล์
มาเพื่อพูดในเวลา 15 นาที 6 วินาที
ได้ทำลายอนาคตการทำงานของเขาจนหมดสิ้น
มันคือความผิดพลาดครั้งสำคัญ
…ในสุดม็อดลีก็ประกาศลาออกจากตำแหน่ง
เพราะทนแรงกดดันไม่ไหว..
ไม่แน่ใจว่าก่อนที่ม็อดลีจะพูด เขาได้เขียนเตรียมคำพูดรวมถึงปรึกษาทีมงานพิจารณาข้อความเหล่านั้นก่อนหรือไม่เราไม่มีทางรู้ได้ แต่ถ้าเขาทำ
ผลลัพธ์มันจะออกมาแตกต่างจากนี้โดยสิ้นเชิง
ผู้นำต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าในภาวะที่วิกฤตเช่นนี้ทำไมพวกเขาจึงต้องการคุณเป็นผู้นำ
และสื่อสารในสิ่งที่พวกเขาอยากฟัง
ไม่ใช่สิ่งที่คุณอยากจะพูด
สิ่งที่ม็อดลีควรทำ คือการปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชา
ไม่ใช่การปกป้องตัวเขาเอง
จะเป็นอันตรายต่อผู้นำอย่างมาก
ถ้ายอมให้สถานการณ์มากดดัน มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้นำ อย่ายอมให้อารมณ์หรือความเกรี้ยวกราด
มาทำร้ายทำลายคุณ
ถ้าหากอารมณ์ขนาดนั้นไม่ปกติ
ลองใช้เวลาสูดหายใจลึกๆ “หยุดชั่วขณะ”
ทบทวนความคิดกับตัวเองหรือนำสิ่งที่ตัวเองคิด
และตั้งใจจะพูดออกไปปรึกษาเพื่อนหรือคนใกล้ชิด
เชื่อว่าสถานการณ์ที่จะทำลายอนาคต
ของเราจะไม่เกิดขึ้น
กัปตันหมี
Photo & Ref
Photo Capt. Brett Crozier (Navy)